top of page

สิว : สาเหตุ และวิธีการป้องกันและรักษา

acne-1606765_1920.jpg

เพราะสิว เป็นสิ่งที่หลายคนเป็น และทำให้เกิดความไม่มั่นใจ บางคนเป็นสิวขั้นรุนแรงมาก จนทำให้รู้สึกท้อใจกันเลยทีเดียว

ก่อนอื่น เรามารู้จักกับสิวกันก่อนค่ะ

สิวคือ การอุตันของน้ำมันในรูขุมขน จึงทำให้ไม่สามารถออกมาได้

สิวที่พบกันบ่อย แบ่งประเภทใหญ่ๆออกมาเป็น 2 ประเภทค่ะ

  1. สิวอุดตัน (Comedones) เป็นสิวไม่อักเสบคือเกิดจากการอุดตันของรูขุมขน โดยสิวอุดตันแบ่งได้อีก 2 ประเภทย่อย:

1.1 สิวหัวดำ/สิวหัวเปิด (Blackheads) : เป็นตุ่มนูน เม็ดเล็กๆ มีรูเปิดอยู่ด้านบน เห็นเป็นจุดสีดำอยู่ตรงกลาง ซึ่งจุดสีดำเกิดจากปฎิกิริยาออกซิเดชั่นระหว่างน้ำมันกับออกซิเจน

Blackheads.jpg

1.2 สิวหัวขาว/สิวหัวปิด (Whiteheads) : เป็นรอยกลมนูนสีขาวขุ่น หรืออาจจะเห็นไม่ชัด ไม่มีรูเปิด

Whiteheads.jpg

2. สิวที่เกิดการอักเสบ นั่นคือมีอาการบวมและเปลี่ยนสี

สิวประเภทนี้เกิดจากการเติบโตของแบคทีเรีย P. Acnes ที่มาอาศัยในต่อมไขมันที่อุดตัน เพื่อย่อยเป็นอาหาร ซึ่งกระบวนการนี้ จะทำให้ผิวเกิดการอักเสบมากขึ้น โดยสิวประเภทนี้แบ่งเป็นประเภทย่อยๆอีก 4 ประเภทย่อย:

2.1 เป็นตุ่มนูนแดง (Papule) เป็นตุ่มสีแดง ก้อนแข็งนูนขึ้น  ขนาดไม่เกิน 0.5 ซม. ทำให้เกิดการเจ็บปวด

Papules.jpg

2.2 เป็นตุ่มหนอง (Pustule) ขนาดไม่เกิน 0.5 ซม. มีตุ่มที่มีหนองสีขาว หรือออกเหลืองอยู่ตรงหัวสิว จะมีการอักเสบที่มากกว่าสิวประเภท Papule

Pustules.jpg

2.3 เป็นตุ่มหนอง ขนาดใหญ่เกิน 0.5 ซม. (Nodule)  อาจมีสีแดงหรือสีเนื้อ ซึ่งอาจเป็นก้อนเดี่ยว หรือหลายก้อนรวมกันก็ได้ แต่ถ้าแตกออก มักมีหนองไหลออกมาด้วย

Nodules.jpg

2.4 ซีสต์ หรือสิวหัวช้าง (cyst) เป็นก้อนนูนแดงนิ่มๆขนาดใหญ่ ภายในอาจมีหนองและเลือดปน ที่อาจทำให้เจ็บปวดด้วย

Cysts.jpg

สาเหตุที่ทำให้เกิดสิว

โดยทั่วไป สาเหตุที่ทำให้เกิดสิว คือการที่ร่างกายผลิตน้ำมันที่ชั้นผิวหนังมากเกินไป เซลล์ผิวหนังที่ตายไปอุดตันรูขุมขน และการติดเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เกิดการอักเสบ

หากจะแยกสาเหตุที่ทำให้เกิดสิว จะแยกได้ดังนี้

  1. ฮอร์โมนแอนโดรเจน (androgens) ซึ่งเป็นตัวควบคุมการสร้างน้ำมัน โดยฮอร์โมนแอนโดรเจนพบมากในเพศชาย และในเพศหญิง จะมีมากในช่วงที่มีรอบเดือนมาหรือกำลังตั้งครรภ์ 

  2. กรรมพันธุ์ ซึ่งโดยมากแล้วหากคนในครอบครัวมีโครงสร้างของผิว หรือเป็นสิวง่าย คนในครอบครัวก็มักจะเป็นในแบบที่คล้ายกัน

  3. แบคทีเรีย P. Acnes ซึ่งจะก่อตัว เจริญเติบโตตามที่ต่างๆ หากเราเอามือไปสัมผัส แล้วมาสัมผัสกับผิวหน้าเรา ก็จะทำให้เกิดสิวได้

  4. การไม่รักษาความสะอาด เช่นไม่ล้างหน้าก่อนนอน ปล่อยให้คราบเครื่องสำอาง หรือสิ่งสกปรกเกาะติดบริเวณผิวหน้า หรือการที่ล้างหน้าไม่สะอาด  เป็นสาเหตุหลักนึงที่ทำให้เกิดสิวได้

  5. การล้างหน้าผิดวิธี เช่นการที่เราใช้โฟมล้างหน้า ล้างเครื่องสำอางหรือกันแดด โดยไม่ใช้คลีนซิ่ง จะทำให้เกิดคราบสิ่งตกค้าง และเกิดการอุดตันรูขุมขน จึงเป็นต้นเหตุของการเกิดสิว

อีกตัวอย่างนึง คือการที่เราล้างหน้าบ่อยเกิดไป จะเป็นการยิ่งกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันบนผิวหน้าเยอะขึ้น จึงทำให้เซลล์ผิวที่ตายไป เกิดการอุดตัน

หรืออีกตัวอย่างนึงคือ การขัดผิวหน้าบ่อยๆ จะทำให้รูขุมขนตีบลง น้ำมันตามรูขุมขนจึงออกมาไม่ได้ จึงทำให้เกิดสิวได้

  6. ความเครียด และการนอนไม่พอ ซึ่งจะไปกระตุ้นให้มีการหลั่งฮอร์โมน  และส่งผลให้ไปกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น จึงทำให้เกิดสิวมากขึ้น

  7. แสงแดด เพราะแสงแดดจะทำให้น้ำในผิวระเหยไป ทำให้ผิวแห้งจึงเป็นการกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมา ส่งผลให้ผิวหน้ามัน และเกิดสิวได้

  8. อาหารบางชนิด เช่นสาหร่ายทะเล, ผักขม, หอยซึ่งมีไอโอดีนและฟลูออไรด์ทำให้เกิดสิวมากขึ้น นอกจากนี้ นม ผลิตภัณฑ์จากนม คาร์โบไฮเดรตแปรรูป เช่นพวกขนมปัง ข้าวขาว พาสต้า น้ำโซดา เครื่องดื่มหวาน และพวกอาหาร Fast food และอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า 6 เช่นข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง ก็ยังเป็นตัวกระตุ้นการเกิดสิว และยังทำให้เกิดอาการอักเสบของสิวรุนแรงขึ้น

แม้ว่าอาหารบางชนิด เรายังไม่ทราบสาเหตุ การเกี่ยวข้องการเกิดสิวโดยตรง แต่หลากหลายการศึกษา ชี้ว่ามีผลลัพธ์ของความเกี่ยวข้องกัน

 

  9. การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสม

คนที่ผิวบอบบาง แพ้ง่าย เป็นสิวง่าย แต่ยังลองใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผสมทั้งน้ำหอมและแอลกอฮอล์ ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านั้น ก็จะเกิดการระคายเคืองผิว และส่งผลให้เกิดการอักเสบ และเกิดสิวได้

 10. อุปกรณ์แต่งหน้าที่ไม่สะอาด

เราควรทำความสะอาด อุปกรณ์แต่งหน้าทั้งหลาย เช่น แปรงทาแก้ม แปรงทาตา หลังการใช้ เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งหมักหมมเชื้อแบคทีเรีย และต้นเหตุการณ์เกิดสิว

  11. สิ่งประทินผม เชน พวกยาย้อมผม, แชมพูขจัดรังแค, น้ำมันใส่ผม เพราะจะมีส่วนผสมของสาร sulfur ที่กระตุ้นการเกิดสิวได้

 12. ยาบางชนิดที่ใช้รักษาโรค อาจเป็นสาเหตุของการเกิดสิวได้ เนื่องจากยาบางตัวอาจมีสาร ที่กระตุ้นฮอร์โมนและเคมีในร่างกายให้มีการเปลี่ยนแปลงได้เช่น ยาต้านวัณโรค ยารักษาอาการชัก ยาคุมกำเนิด ยาปฏิชีวนะ และยาสเตียรอยด์

วิธีการป้องกันและรักษาสิว

  1. ทำความสะอาดผิวหน้าให้ถูกวิธี และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว เพื่อชำระล้างเครื่องสำอาง สิ่งสกปรก เหงื่อ และน้ำมันบนผิว โดยเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนและเหมาะกับสภาพผิว

โดยเฉพาะคนที่ผิวบอบบาง แพ้ง่าย ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอม สี และแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้ผิวหน้าระคายเคือง ทำให้เกิดการแพ้ และยังทำให้เกิดสิว

และ หาผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน หรือที่ระบุว่า Non-Comedogenic

แนะนำเลย Crème Café Ultra Mild Clear Skin Facial cleanser ที่ทดสอบและวิจัยโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชสำอาง ว่าอ่อนโยนแม้ผิวบอบบาง แพ้ง่าย และเป็นสิว เพราะปราศจากสารระคายเคืองต่อผิว 6 ชนิด : Free of Alcohol, Paraben, SLS, SLES, Fragrance, Synthetic Color  และ Non-Comedogenic

7.jpg

ทั้งนี้ Creme Cafe Ultra Mild Clear Skin Facial Cleanser ยังมีPH balance กับผิวหน้าที่ 5.5 จึงสร้างเกราะป้องกันผิวที่แข็งแรง และปรับสภาพผิวให้สมดุล หน้าจึงมีสุขภาพดี

       ทั้งช่วยทำความสะอาดผิวหน้า  ตาปาก ล้างเมคอัพกันน้ำ  และยังเป็นเอสเซ้นส์บำรุงชุ่มชื่น ด้วย Rosa Damascena  กุหลาบจากบัลแกเรีย ประกอบด้วยวิตามินมากมายจาก vitamin A, B1, B2, B3, E, K, C ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย +ยับยั้งริ้วรอย+เสริมสร้างเคราตินให้ชั้นผิวด้านใน  และ Glycerin ช่วยให้ผิวสามารถเก็บกักน้ำในชั้นผิว มีความอ่อนนุ่ม

และ Carica Papaya Fruit Extract ช่วยทำความสะอาดผิว ให้ผิวสม่ำเสมอกัน

 

การล้างหน้าที่เหมาะสม  นั่นคือควรล้างไม่เกินวันละ 2 ครั้ง ช่วงตื่นนอนและก่อนนอน เพื่อไม่ให้เกิดผิวแห้งตึง

 

  2. หลีกเลี่ยงการถูและขัดผิวรุนแรง เพราะอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองและอักเสบ สำหรับการขัดหน้าหรือสครับหน้า แนะนำให้ทำไม่เกินอาทิตย์ละ 1 ครั้ง

 

  3. ดูแลรักษาความสะอาดเครื่องใช้ต่างๆ โดยเฉพาะเครื่องใช้ที่ต้องสัมผัสกับใบหน้า ซึ่งสามารถเป็นแหล่งสะสมของไรฝุ่นและแบคทีเรีย เช่น ปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน ผ้าเช็ดหน้า และ โทรศัพท์ ควรหมั่นทำความสะอาดเพื่อลดการติดเชื้อหรือการอักเสบระคายเคืองผิว

  4. ทากันแดดทุกวัน เพื่อลดการกระตุ้นให้เกิดสิว และหากอยู่ในช่วงรักษาสิว ควรทากันแดดเหมือนกัน เพราะหน้าจะไวต่อแสงแดด และระคายเคืองง่าย

  5. ลดความเครียด และพักผ่อนให้เพียงพอ หากเรามีความเครียดร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนซึ่งไปกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น ทำให้มีโอกาสเกิดสิวมากยิ่งขึ้น หากเราทำจิตใจให้แจ่มใสและพักผ่อนให้เพียงพอก็จะช่วยทำให้ผิวผ่อนคลายและสุขภาพดี โดยควรนอนพักผ่อนอย่างน้อย 7-9   ชั่วโมงต่อวัน และแบ่งเวลาทำกิจกรรมที่ช่วยให้ผ่อนคลาย

 

  6. ลดการทานอาหารที่กระตุ้นการเกิดสิว เช่นสาหร่ายทะเล, ผักขม, หอยซึ่งมีไอโอดีนและฟลูออไรด์ทำให้เกิดสิว นอกจากนี้ นม ผลิตภัณฑ์จากนม คาร์โบไฮเดรตแปรรูป เช่นพวกขนมปัง ข้าวขาว พาสต้า น้ำโซดา เครื่องดื่มหวาน และพวกอาหาร Fast food และอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า 6 เช่นข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง

  7. หมั่นดื่มน้ำบ่อยๆ การดื่มน้ำจะเป็นการช่วยทำให้ผิวชุ่มชื่น อิ่มน้ำ เมื่อผิวไม่แห้ง ใบหน้าจะไม่ขับน้ำมันออกมามากจนเหลือเป็นความมันส่วนเกินบนใบหน้า  ดังนั้นเราควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว 

 

  8. ไม่กดสิวหรือบีบสิวเอง การกดหรือบีบสิวอย่างผิดวิธีมักจะก่อให้เกิดแผลและหลุมสิว ซึ่งการบีบจะทำให้เกิดการแพร่กระจายของสิว และยังทำให้เกิดสิวอักเสบอีกด้วย รวมถึงงดการแคะ แกะ หรือเกาบนใบหน้า

 

  9. ทดสอบการแพ้ ก่อนใช้เครื่องสำอางใหม่ หากเราต้องการเปลี่ยนเครื่องสำอาง หรือทดลองเครื่องสำอางที่ไม่เคยใช้ ควรทำการทดสอบการแพ้ก่อนทุกครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการแพ้หรือมีสิวเห่อขึ้นบนใบหน้า โดยสามารถทดสอบได้เองโดยการทาบริเวณ หลังหู ท้องแขน หรือหลังมือ ทิ้งไว้ อย่างน้อย 48 ชั่วโมงเพื่อสังเกตุอาการ

 

  10. ใช้ยาทารักษาสิว เช่นกลุ่ม BP (Benzoyl Peroxide) ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และทำให้สิวแห้ง และหลุดไปเอง  ส่วนยาคลินดามัยซิน จะใช้แต้มหัวสิวอักเสบ

 

ซึ่งควรจะเริ่มใช้ยาทาจาก %ที่น้อยก่อน เพราะยาพวกนี้ก็อาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิวได้

 

หากทุกคนรู้อย่างนี้แล้ว อย่าลืมหันมาใส่ใจตัวเอง ลด ละ เลิกสิ่งที่กระตุ้นการเกิดสิวกันนะคะ

สิวที่รุนแรง ก็สามารถกลับมาดีขึ้น และสิวที่เป็นไม่รุนแรง ก็สามารถกลับมาหายได้ค่ะ

เคร็มคาเฟ่ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกๆท่านที่หันมาใส่ใจตัวเองนะคะ แต่ถ้าหากเป็นสิวรุนแรงมาก แนะนำให้ปรึกษาแพทย์จะดีที่สุดค่ะ  

 

Ref: https://www.healthline.com/health/how-to-prevent-pimples#limit-sun

Ref: https://www.medicalnewstoday.com/articles/321411#fifteen-ways-to-prevent-pimples.

Ref: https://www.aad.org/public/diseases/acne/DIY/wont-clear

https://www.bumrungrad.com/th/health-blog/november-2019/know-about-acne

https://www.bumrungrad.com/th/health-blog/november-2019/know-about-acne

https://www.thairath.co.th/women/beauty/health/1487725

https://www.philcosmetics.com/%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%A7-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A0%E0%B8%97%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%A7/

https://www.at-z.co.th
https://medthai.com/%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%A7/
https://www.eucerin.co.th/…/acne-pron…/how-blemishes-develop
https://www.honestdocs.co/acne-types-and-treatment
http://smc.sut.ac.th/article/431

bottom of page